วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เผากรุงเทพฯ ตายไปต้องไปเกิดเป็นหนอน?


น้องคนหนึ่งพูดถึงเหตุการณ์ผู้ชุมนุมเผากรุงเทพฯ

"ทำแบบนี้ ชาติหน้าคงต้องไปเกิดเป็นหนอน"

ผมมาคิดดู การสาปส่งให้ไปเกิดเป็นน้อง "หนอน" ดูจะเอื้ออารีย์พอสมควร
จึงลองหาข้อมูลทางพุทธดู พบว่า
ภพภูมิทั้งสิ้นมีอยู่ 31 ภพภูมิ ดังนี้

8

อรูปพรหมอย่างเดียวมี 4 ชั้น

สุคติภูมิ

7

รูปพรหมอย่างเดียวมี 16 ชั้น

สุคติภูมิ

6

เทวดาอย่างเดียวมี 6 ชั้น

สุคติภูมิ

5

มนุษย์

อยู่ตรงกลาง

4

เดรัจฉาน

ทุคติภูมิ

3

เปรต

ทุคติภูมิ

2

อสูรกาย

ทุคติภูมิ

1

สัตว์นรก

ทุคติภูมิ


จะเห็นได้ว่า "หนอน" ซึ่งอยู่ในภพภูมิของเดรัจฉานนั้น ถัดจากมนุษย์ลงมาแค่ชั้นเดียว
สภาวะจิตของผู้่ลงมือเผาน่าจะไปได้ไกลกว่านั้นอีกหลายชั้น

ยิ่งผู้ที่สั่งการให้เผาด้วยแล้ว
คงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพ จึงจะมีโอกาสได้มาเกิดเป็น "หนอน" ดังที่น้องคนนั้นได้คาดไว้

ไม่ว่าจะเผาเพราะอะไร ใครผิด ใครถูก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...

ป.ล. จนทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจว่าการเผากรุงเทพฯ มันเป็นการทำเพื่อประเทศไทยตรงไหน

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ศพฝรั่งหัวขาด หลักฐานชี้ไปที่ "ฆ่าตัวตาย"

"จงรัก" แถลงผลตรวจ "ฝรั่งหัวขาด" ระบุพยานหลักฐานชี้ไปที่ "ฆ่าตัวตาย" พร้อมสรุปสำนวนใน 30 วัน

นิติเวช ศิริราช ให้น้ำหนักที่การฆ่าตัวตายมากสุด
แพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช ได้ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว โดยศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "การฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคออย่างสมบูรณ์" ซึ่งหลังจากที่ผู้ตายใช้เชือกผูกที่ลำคอแล้วทิ้งตัวลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง ของโลกจะทำให้ศีรษะขาดออกจากลำตัวทันทีสำหรับกรณีนี้ผู้ตายเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมีรูปร่างใหญ่ น้ำหนักตัวเยอะประกอบกับใช้เชือกที่มีความยาวถึง 6 เมตร ก็อาจเป็นไปได้ที่ผู้ตายผูกคอตายเองแต่จังหวะที่ทิ้งตัวลงจากขอบสะพานทำให้ ศีรษะขาดออกจากลำตัวจนเลือดสาดกระเซ็นไปเปื้อนผนังปูนใต้สะพานจำนวนมาก หากใครได้เห็นภาพจากหนังสือพิมพ์ก็จะยิ่งเห็นชัดแต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ กับผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่า คดีนี้จะสรุปผลออกมาอย่างไร

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 16:58:04 น. มติชนออนไลน์

อยากให้เรื่องนี้จบเร็วๆ วันก่อนหลานอายุ 4 ขวบมาเห็นภาพข่าวนี้ทางทีวี ถามว่าเรื่องอะไร
ไม่ว่าจะฆาตกรรม หรือฆ่าตัวตาย ก็โหดร้ายสำหรับเด็กๆพอกัน

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อนาคตของผมมั่ง

ไปดู Blog ของหมอเชนเรื่อง "อนาคตของผม"
เลยไปเล่นดูมั่ง ที่ http://en.miraino.jp

ผลออกมา...















ไหงกลายเป็นช่างทำผมได้ล่ะเนี่ย

และเมื่อผมกับเธอรวมร่างกัน ที่ http://en.mazemon.jp
กลายเป็น




















ปีศาจ Eagle Baron สุดเท่ห์
แค่เอาชื่อใส่ลงไป ได้อะไรแบบนี้เลยเหรอ

คิดได้ไงเนี่ย

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คุณกำลังละเลยคนที่แคร์คุณอยู่รึเปล่า

จู่ๆก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาครับ

===================
เพลง หุ่นกระบอก
ศิลปิน วงตาวัน

ดึงเชือกสิ แล้วฉันจะยิ้มให้คุณ
ดึงเชือกสิ ฉันจะร้องเพลงให้ฟัง
ดึงอีกครั้ง ฉันอาจร้องไห้
แต่ไม่เป็นไร ถ้าถูกใจของคุณ

ดึงเชือกสิ ฉันอาจยิ้มให้อีกครั้ง
แต่อย่าเพิ่งหวัง ครั้งนี้ฉันอาจร้องไห้
เพราะเชือกอาจขาด ฉันอาจหลุดลอย
ไปทั้งที่ใจ ไม่อยากจะจากคุณเลย

คุณคงเห็น ฉันไม่มีหัวใจ ทำฉันอย่างไรก็ได้ เหมือนหุ่น
ให้สุข ให้ทุกข์ แล้วแต่ใจคุณ
ฉันเป็นเพียงหุ่น ให้คุณเชิด ตามใจ

ดึงเชือกสิ แล้วฉันจะยิ้มให้อีกครั้ง
แต่อย่าเพิ่งหวัง ครั้งนี้ฉันอาจร้องไห้
เพราะเชือกอาจขาด ฉันอาจหลุดลอย
ไปทั้งที่ใจ ไม่อยากจะจากคุณเลย

==================

ไม่รู้ว่าจะเคยฟังกันรึเปล่า
เรื่องราวแบบนี้ัมักเกิดขึ้นเวลาที่คนๆหนึ่งแคร์คนอีกคนหนึ่ง โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยจะแคร์สักเท่าไร
เวลาฟังเพลง เรามักจะอินไปกับเพลงว่า เราเป็นฝ่ายที่ไม่ได้รับการดูแลความรู้สึกเท่าที่ควร
แต่ในชีวิตจริง บ่อยครั้งที่เราเองลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกของคนที่แคร์เราอยู่
พอจะนึกออกบ้างไหมครับ

รีบนึกให้ออกก่อนเชือกจะขาด และหุ่นกระบอกตัวนั้นจะหลุดลอยไป
ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้วครับ

ป.ล. เนื้อเพลงพิมพ์จากความทรงจำ ผิดพลาดขออภัย
ใครไม่เคยฟัง Search เอาเองครับ Youtube ก็มี

โลโก้พี่ศรันย์

วันนี้รถผมเสียครับ
เลยโทรตามช่างไทยที่เคยใช้บริการให้มาดูให้ที่บ้าน
ช่างชื่อ ศรันย์ ครับ
บริการรับซ่อมรถนอกสถานที่
พอมาถึงได้เห็นโลโก้ของพี่แกที่ข้างรถแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอามาฝากกัน

















ทำธุรกิจในเมืองฝรั่ง จะให้เขาจำชื่อภาษาไทยได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
พี่ศรันย์ตีโจทย์ข้อนี้แตกครับ แค่เอารูปคนวิ่งใส่เข้าไป...เสร็จโก๋
แค่นี้ชื่อภาษาไทยจำยากๆ กลายเป็น "S + วิ่ง"
แถมยังให้ความรู้สึกว่าเป็นบริการที่รวดเร็วอีกต่างหาก
เจ๋งไหมครับคนไทย

ป.ล. ถ่ายรูปรถพี่ศรันย์มาโดยไม่ได้ขออนุญาต ไม่ว่ากันนะครับ นำมาด้วยความชื่นชมจริงๆ

จิบกาแฟในร้านขายของแต่งบ้าน

มีร้านขายของแต่งบ้านอยู่ร้านหนึ่ง
ดูจากภายนอกเป็นแบบนี้









พื้นที่ด้านนอกขายของแต่งสวนพวก กระถางดินเผา โอ่ง ไห









ห้องด้านไหนขายของแต่งบ้าน ที่ดูมีรสนิยม ทั้งของเก่าและใหม่
แต่ที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ











ภายในเป็นร้านกาแฟสด ตกแต่งด้วยของแต่บ้านที่พี่แกขายนั่นแหละ
บรรยากาศหรูเลิศ ตามรสนิยมคนมีกะตังค์แต่งบ้าน
กาแฟรสชาิติเยี่ยมครับ อร่อยกว่าร้านกาแฟตรงๆหลายๆร้านที่ชิมมา

ดูเป็นร้านที่ต้องทำด้วยใจรักครับ เพราะคงขายได้ไม่เท่าไร
ของแต่งบ้านแต่ละชิ้นก็แพงพอดู
ในแง่ธุรกิจคงไม่ประสบความสำเร็จ (ทั้งร้านของแต่งบ้าน และร้านกาแฟ)
แต่ผมว่า เจ้าของคงมีความสุขน่าดู

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จบการเดินทางอันยาวนานของ ล่าอสุรกาย

กา์ร์ตูน เรื่องล่าอสุรกาย เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านมาตั้งแต่เด็ก ในที่สุด มันก็จบลงแล้ว
Image:Tora cover.gif
เรื่อง ล่าอสุรกาย เริ่มเรื่องโดย เด็กชายคนหนึ่ง (อุชิโอะ) ลูกชายผู้ดูแลศาลเจ้า พลัดตกลงไปในห้องใต้ดินของศาลเจ้า
และได้พบปีศาจตนหนึ่ง (โทร่า) ถูกหอกในตำนานปักตรึงไว้ใต้ศาลเจ้า ร่วมๆ 500 ปี นั่นคือหอกสมิง ที่เหล่าปีศาจเกรงกลัว และปีศาจดุร้ายที่เคยออกอาละวาดเมื่อ 500 ปีก่อนจนถูกกำราบ
สถานการณ์บังคับให้เด็กหนุ่มต้องดึงหอกปลดปล่อยปีศาจ และพบว่าตนคือผู้ที่ได้รับเลือกจากหอกให้เป็น "ผู้ใช้หอก" จากนั้นเป็นต้นมา หนึ่งมนุษย์ หนึ่งปีศาจ จึงออกเดินทางผจญภัยปราบอสุรกาย ไปอีกหลายเล่ม โดยปีศาจหลายๆตัว เป็นปีศาจตามนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น บางตัวก็เป็นมิตร บางตัวก็น่ากลัวเหลือหลาย

เรื่องนี้เริ่มตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2535 มาจบเอาเมื่อปี พ.ศ. 2550
กว่าจะจบเล่นเอาคนอ่านแก่ไปเลย

แรกๆ เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นแนวบู๊ล้างผลาญ ทั่วไป
แต่การผูกเรื่องให้ลงลึกถึงเบื้องหลังของเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ทำได้ดีมาก
ที่มาของ หอกสมิง โทร่า รวมไปถึงเรื่องราวว่าแม่ของอุชิโอะหายไปไหน ค่อยๆเปิดเผยออกมา ทำให้เรื่องน่าติดตาม พร้อมๆกับการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองจนการเป็นสหาย ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันจนตอนสุดท้าย

ผมชอบตอนหนึ่งในเรื่อง เมื่ออุชิโอะจะได้พบกับแม่เป็นครั้งแรก มีคนถามว่าจะพูดอะไรกับแม่ เมื่อได้เจอกัน
อุชิโอะตอบว่า "แม่ครับ ทำซุปเต้าเจี้ยวให้กินหน่อย"
น่ารักดีไหมครับ มันแสดงออกถึงว่า ตัวเอกต้องการแค่ "แม่" ที่เป็นคนธรรมดา ในชีวิตของเด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ตอนอ่านจบ ผมรู้สึก...ใจหายครับ
เหมือนเราร่วมเดินทางกับทั้งสองมานาน จนมาถึงปลายทางที่แยกจากกัน
ใจหายจริงๆ

ผมเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งแรกตอนเด็กๆ เมื่อช่อง 9 เผยแพร่การ์ตูนเรื่อง "หน้ากากเสือ" มาจนถึงตอนอวสาน ตอนนั้นไม่รู้หรอกครับ ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าใจหาย แต่จำได้ว่ารู้สึกแบบเนี้ยเลย
หลังจากนั้น เวลาติดตามเรื่องราวอะไรที่สนุกๆมาจนถึงตอนจบ ก็ยังคง "ใจหาย" อยู่เสมอ ตั้งแต่ มังกรหยก มาจน แฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่ม 7

ผมพบว่า เรื่องราวที่สามารถทำให้เรา "ใจหาย" ได้เมื่อมาถึงตอนจบ มักส่งอิทธิพลบางอย่างมาถึงความคิด และบุคคลิกของตัวเรา

ในตัวผมคงมีส่วนหนึ่ง ที่ประกอบขึ้นมาจากเรื่องราวเหล่านี้
และแน่นอนครับ อุชิโอะ กับ โทร่า ก็คงอยู่ในนั้นเช่นกัน

*หมายเหตุ: อ่านเรืื่องเกี่ยวกับ "ล่าอสุรกาย" ได้โดย search คำว่า "ล่าอสุรกาย" ใน Google ไทย
หรือ
Ushio and Tora ใน Google.com
หรือ ชมตัวอย่างได้ทาง YouTube เลยครับ